มลภาวะทางแสง: ความมืดที่หายไปในหลายประเทศ

(แฟ้มภาพ) งานวิจัยหลายฉบับเชื่อว่า ฮ่องกงคือหนึ่งในเมืองที่ประสบปัญหาภาวะทางแสงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยระบุว่าระดับความเข้มข้นของแสงในบางพื้นที่มีค่าสูงกว่า 1 พันเท่าของมาตรฐานสากล

ผลการศึกษาภาพถ่ายโลกในเวลากลางคืน ชี้ว่าแสงสว่างจากหลอดไฟ กำลังเพิ่มขึ้นและครอบคลุมบริเวณกว้างขึ้นทุกปี โดยระหว่างปี 2012 และ 2016 มีพื้นที่กลางแจ้งที่มีไฟส่องสว่างเพิ่มขึ้นกว่า 2% ต่อปี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า “ความมืดในช่วงกลางคืนที่หายไป” ในหลายประเทศ กำลังส่งผลเสียต่อ “พืช สัตว์ และมนุษย์”

ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการไซแอนซ์ แอดวานซ์ส์ (Science Advances) อาศัยข้อมูลจากเครื่องวัดรังสีที่ติดตั้งบนดาวเทียมของนาซา ซึ่งออกแบบมาเพื่อวัดค่าแสงในเวลากลางคืนโดยเฉพาะ

Europe at night in 2016 (c) NASA Earth Observatory images by Joshua Stevens, using Suomi NPP VIIRS data from Miguel Román, NASA's Goddard Space Flight Center

ภาพถ่ายแสดงให้เห็นว่าแสงสว่างที่เปลี่ยนไป มีความตากต่างกันเมื่อเปรียบเทียบเป็นรายประเทศ โดยบางประเทศที่ส่องสว่างเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกอยู่แล้วอย่างสหรัฐฯ และสเปน ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ประเทศส่วนใหญ่ในอเมริกาใต้ แอฟริกา และเอเชียมีแสงสว่างเพิ่มขึ้น และมีเพียงไม่กี่ประเทศที่มืดลง เช่น เยเมน และซีเรีย ซึ่งทั้งคู่อยู่ในภาวะสงคราม

ภาพถ่ายดาวเทียมจากเวลากลางคืน แสดงให้เห็นเส้นชายฝั่งและเครือข่ายของเมืองที่อาจดูสวยงาม แต่แสงไฟเหล่านี้ ก่อให้เกิดผลกระทบที่คาดไม่ถึงต่อสุขภาพของมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม

Presentational grey line

เรายังต้องการความมืดตามธรรมชาติ

ในปี 2016 สมาคมแพทย์แห่งอเมริกา ยอมรับอย่างเป็นทางการถึง “ผลเสียจากแสงไฟแอลอีดีที่ออกแบบมาไม่ได้คุณภาพและมีความเข้มข้นสูง” โดยได้ส่งเสริมให้ประชาชน ลดและควบคุมแสงไฟสีฟ้าในสภาพแวดล้อม ด้วยการลดค่าความสว่างของไฟสีฟ้าไม่ให้จ้าเกินไป เนื่องจากฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งทำให้ง่วงนอนจะอ่อนไหวต่อแสงสีฟ้า

ผลการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้จากวารสารวิชาการเนเจอร์ เผยว่าแสงจากหลอดไฟ เป็นภัยต่อการผสมเกสรของพืช โดยมีผลทำให้แมลงที่หากินในเวลากลางคืนผสมเกสรน้อยลง

ผลการวิจัยในสหราชอาณาจักร เผยว่าต้นไม้ในบริเวณที่มีไฟส่องสว่าง จะออกดอกเร็วกว่าปกติ 1 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับต้นไม้ที่ไม่ได้อยู่ในบริเวณที่มีแสงไฟ

ผลการศึกษาก่อนหน้านี้ พบว่าแสงสว่างในเมือง มีส่วนทำให้นกที่อพยพในเวลากลางคืน มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป

Presentational grey line

ดร.คริสโตเฟอร์ ไคบา จากศูนย์วิจัยธรณีศาสตร์แห่งเยอรมนี ในเมืองพอตส์ดัม กล่าวว่า การใช้หลอดไฟส่องสว่างเป็น “หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สำคัญ ซึ่งมนุษย์ก่อขึ้นกับสิ่งแวดล้อม”

ส่วนที่สว่างที่สุดของสหราชอาณาจักร กำลังสว่างมากขึ้น

ในตอนแรก ดร.ไคบาและทีมงานคาดว่า เมืองที่ฐานะร่ำรวยและพื้นที่อุตสาหกรรมจะส่องสว่างน้อยลง เพราะการเปลี่ยนจากหลอดไฟโซเดียมที่มีสีส้ม ไปใช้หลอดไฟแอลอีดีที่ประหยัดไฟกว่า จะทำให้เซนเซอร์บนดาวเทียมไม่สามารถวัดค่าสเปกตรัมแสงสีฟ้าจากหลอดไฟแอลอีดีได้

นายไคบา กล่าวกับบีบีซี นิวส์ว่า “ผมคาดว่า ในหลายประเทศที่ร่ำรวย เช่น สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และเยอรมนี เราจะเห็นแสงสว่างลดลง โดยเฉพาะในบริเวณที่ส่องสว่างมาก ๆ” แต่ “เรากลับเห็นว่าประเทศอย่างสหรัฐฯ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ส่วนสหราชอาณาจักรและเยอรมนี กำลังส่องสว่างยิ่งขึ้น”

เนื่องจากเซนเซอร์บนดาวเทียม ไม่สามารถตรวจจับค่าแสงสีฟ้าที่มนุษย์มองเห็นได้ ในความเป็นจริงเราจึงจะได้รับแสงสว่างมากขึ้นกว่าที่นักวิจัยจะวัดค่าได้

ศ.เควิน แกสตัน จากมหาวิทยาลัยเอ็กซ์เตอร์ กล่าวกับบีบีซี นิวส์ว่า มนุษย์กำลัง “ทำให้ตัวเองต้องสัมผัสกับแสงสว่างที่ผิดปกติ”

ภาพถ่ายจากปี 2016 แสดงให้ว่าเห็นอินเดียสว่างขึ้น เมื่อเทียบกับภาพถ่ายดาวเทียมเมื่อปี 2012

‘แสงน้อยลง กับการมองเห็นที่ดีขึ้น’

ศ.แกสตัน กล่าวว่า ขณะนี้ในยุโรปแทบจะหาท้องฟ้าที่เป็นธรรมชาติในเวลากลางคืนไม่ได้แล้ว และพบว่ามลภาวะทางแสงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องน่าสนใจด้วย

“เมื่อเราคิดถึงการที่มนุษยชาติทำลายสิ่งแวดล้อม การแก้ไขหรือฟื้นฟูกลับมาใหม่จะต้องใช้ความพยายามมาก”

แม่น้ำไนล์และบริเวณโดยรอบ มีแสดงไฟ ทำให้เห็นเป็นเส้นในเวลากลางคืน

ดร.ไคบา กล่าวว่า “ในกรณีของแสงไฟ เราต้องกำหนดว่าต้องการให้ส่องสว่างที่ไหน และไม่ควรใช้ไปอย่างสูญเปล่าในที่ที่ไม่จำเป็น” รวมถึงอธิบายว่า เราสามารถทำให้พื้นที่เมืองสว่างน้อยลงได้ โดยไม่เป็นปัญหากับการมองเห็น “การมองเห็นของคนเราต้องอาศัยความคมชัด ไม่ใช่ปริมาณของแสง… ดังนั้นการลดแสงที่ตัดกันกลางแจ้ง หลีกเลี่ยงโคมไฟที่มีแสงจ้า จะช่วยให้มองเห็นได้ชัดขึ้นในสภาพที่มีแสงน้อยลง”

ดร.ไคบา ชี้ว่าการลดใช้หลอดไฟ “อาจช่วยประหยัดพลังงานได้มาก แต่ข้อมูลของเราชี้ว่า นี่ยังไม่ใช่ทิศทางที่กำลังเป็นอยู่ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก”

 

ที่มา – http://www.bbc.com/thai/international-42094264

 

Rate Us

Rate our Website !!

Links

SDalumni PTAD St.John Bosco's Bicentenary SAVIO ESPRESSO

CONTACT US

โรงเรียนเซนต์ดอมินิก
1526 ถนน เพชรบุรีตัดใหม่ แขวง มักกะสัน เขต ราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
E-mail : [email protected]
Tel. 02-652-7477-80 Fax. 02-652-7777
Saint Dominic School